รักษ์มะรุม

วันจันทร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

น้ำมันสกัดจากเมล็ดมะรุม moringa oil

น้ำมันมะรุม 


น้ำมันมะรุมสกัด
นอกจากประโยชน์ต่างๆได้กล่าวมาแล้ว เมล็ดมะรุมยังให้น้ำมันที่มีคุณสมบัติเป็นเลิศอีกด้วย คนโบาณกาลนิยมใช้น้ำมันชนิดหนึ่งมาใช้ปรุงอาหาร บำรุงและรักษาผิวพรรณ ที่มีคุณสมบัตพิเศษ ไม่ว่าจะเป็นเวลานานเท่าใด น้ำมันชนิดนี้จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงสภาพของสีและกลิ่นแต่อย่างใด และยังคงสภาพเดิม

คนโบราณเรียกน้ำมันมะรุมนี้ว่า Benoil และนำไปใช้เป็นน้ำมันหล่อลื่นและนาฬิกาชนิดที่ดีที่สุดโลก รวมทั้งใช้เป็นส่วนผสมในเครื่องสำอางราคาแพง

จากการค้นคว้าของนักวิจัยประสบการณ์ของบุคคลรอบข้างและทั้งตัวผู้เขียนเองได้พบว่า น้ำมันมะรุมมีคุณสมบัติที่พิเศษและมหัศจรรย์ ท่านอาจารย์สุทธสวัสส์ ได้กรุณาอธิบายในวาระที่ท่านมาบรรยายที่วัดป่าธรรมชาติกล่าวว่า น้ำมันมะรุมมีคุณสมบัติชะลอความชราได้ด้วย จะใช้ทาตรงหือผสมโลชั่นกับน้ำมันอื่นที่ท่านชื่นชอบ เมื่อทาแล้วผิวหน้าจะเนียน นุ่มนวลและง่ายต่อการแต่งหน้า ทั้งยังทำให้เครื่องสำอางติดทนนาน ข้อดีอีกอย่างของน้ำมันมะรุมคือดูดซึมง่าย และไม่เหนียวเนอะหนะเช่นน้ำมันอื่นๆ เป็นต้น



คุณสมบัติของน้ำมันมะรุม


มีรายงานว่ามีการนำเมล็ดมะรุมมาใช้ใน ผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับความสวยงามตั้ง 1,400 ปีก่อนคริสตกาล ซึ่งนำมาใช้ลดริ้วรอยโดยการใช้ยางสน, น้ำมัน มะรุมสด และหญ้าไซปรัส ซึ่งนำส่วนผสมทั้งหมดหมักรวมกัน และนำมาใช้ทุกวันเป็นประจำ เหมาะต่อการนำไปใช้ในอุตสาหกรรมเสริมสวยทำ เครื่องสำอาง ใช้ในการบำรุงผิว บำรุงผม นอกจากนั้นยังมีสารฆ่าเชื้อและสมานแผล มีสรรพคุณในการแก้ผื่นคัน แมลงกัดต่อย และแผลถลอก นอกจากนั้น ยังมีไวตามิน เอ และ ซี ที่มีประโยขน์ในด้านเสริมสวย ในขณะเดียวกัน ก็สามารถนำไปปรุงอาหารเช่นเดียวกับน้ำมันมะกอก และมีคุณสมบัติ ใกล้เคียงกัน ดูรายละเอียดคุณสมบัติด้านล่างนี้

ช่วยบำรุงรักษาผิวที่แห้งให้ชุ่มชื้น อ่อนนุ่ม และช่วยชะลอความแก่ก่อนวัยของผิว
ช่วยบรรเทาการเกิดสิวบนใบหน้า
ช่วยลดรอยจุดด่างดำของผิวอันเป็นผลจากการโดนแดด หรือการเสื่อมตามวัย
ช่วยรักษาโรคเชื้อราตามผิวหนัง เช่น โรคน้ำกัดเท้า เชื้อราตามซอกเล็บ และผิวแห้งเพราะเชื้อรา
ช่วยรักษาแผลสด เนื่องจากเมล็ดมะรุมนั้นประกอบไปด้วยสารฆ่าเชื้อโรค และช่วยลดการอักเสบของบาดแผลจากมีดบาด แผลฟกช้ำ แผลไฟไหม้ แมลงกัดต่อย ผดผื่นและรอยถลอกอย่างรวดเร็ว

การใช้งานด้านเวชสำอาง



- ครีมลบริ้วรอย
- ผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผม
- สบู่ก้อนและสบู่เหลว
- น้ำมันหอมระเหย
- น้ำมันนวด
- ครีมบำรุงผิวหน้า
- น้ำหอมและที่ดับกลิ่นกาย
- น้ำหอมและที่ดับกลิ่นกาย

น้ำมันมะรุมเป็นส่วนประกอบสำคัญในครีม โลชัน น้ำมันหอม ครีมขัดตัว/หน้า ออยทาผิว ผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมในสัดส่วน 3-100 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งมี สารอาการที่จำเป็นต่อผิวและเส้นผม

ผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับผม น้ำมันมะรุมจะมีคุณสมบัติคล้ายกับน้ำมันมะกอกที่ช่วยลดผมแห้งเสีย ชี้ฟู และยังช่วยทำความสะอาดหนังศีรษะอีกด้วย โดยการชโลมน้ำมันมะรุมลงบนหนังศีรษะในขณะที่ผมเปียกแล้วนวดให้ทั่ว ทิ้งไว้สักพักแล้วล้างออก จะช่วยทำให้หนังศีรษะสะอาดและเพิ่มความชุ่มชื้น
ผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับผิว ส่วนผสมของเมล็ดมะรุมในผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด จะช่วยให้เกิดฟองครีมมากและช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำความสะอาด ไม่เหมือนกับน้ำมันจากพืชชนิดอื่น

ช่วยขจัดสิวและป้องกันการกลับมาเป็นใหม่ ถ้าใช้เป็นประจำอย่างต่อเนื่อง
ช่วยลดริ้วรอยและป้องกันผิวหน้าหย่อนยาน น้ำมันมะรุมมีคุณสมบัติในการต่อต้านริ้วรอยเป็นพิเศษ
เพราะมีสารต้านอนุมูลอิสระและสารอาหารต่างๆ ที่มีส่วนช่วยควบคุมการทำงานของต่อมบนชั้นผิว ต่อมบนชั้นผิวนี้เป็นตัวที่สร้างความเสียหายต่อชั้นผิวและทำให้เกิดริ้วรอย
ช่วยลดรอยแผลเป็นและจุดด่างดำจากสิว
ช่วยให้หน้ากระจ่างใส
ช่วยกระชับรูขุมขน
ช่วยให้ผิวสะอาดบริสุทธิ์, สร้างสมดุลของน้ำมัน และลดความอ่อนล้าของผิว ถ้าใช้เป็นประจำจะช่วยลดการเกิดสิวหัวดำในทุกสภาพผิว และลดผลหระทบจากมลภาวะ
ช่วยให้ผิวนุ่ม ชุ่มชื้น

"สำหรับผิวนั้นน้ำมันมะรุมจะช่วยให้ผิวนุ่มนวลเหมาะกับการใช้นวดตัว เพราะอุดมไปด้วยกรด Palmitoleic, กรด Oleic และกรด Linoleic, วิตามินเอและซี, และกรดไขมันไม่อิ่มตัว ผสมเข้ากันได้ง่ายกับ Essential oils ไม่เกิดการระเหยและกระจายบนผิวได้ง่าย น้ำมันมะรุมช่วยให้ผิวชุ่มชื้นเนื่องจากอุดมไปด้วย วิตามินเอและซี กรดไขมันไม่อิ่มตัว มีสารฆ่าเชื้อโรคและลดการอักเสบ และยังช่วยรักษาผิวสีแทนให้คงทน เนื่องจากอุดมไปด้วยทองแดงและแคลเซียม ซึ่งมีสารอาหารสำคัญสำหรับผิว"

ประโยชน์ของน้ำมันมะรุม นวดสำหรับเด็ก

ช่วยกล่อมและบรรเทาความเจ็บปวดด้วยสัมผัสจากการนวด
ช่วยลดและป้องกันการบาดเจ็บจากอาการโคลิก
ช่วยปรับการเคลื่อนไหวของร่างกายเด็ก
ช่วยผ่อนคลายหลังอาบน้ำและก่อนเข้านอน
ช่วยพัฒนาระบบประสาท

น้ำมันมะรุมมีสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อผิวสูง และมีส่วนผสมคล้ายกับน้ำมันมะกอกแต่บางเบากว่ามาก และยังมีสารต้านอนุมูลอิสระทำให้ผิวพรรณ เนียนนุ่ม

ผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับน้ำหอม ส่วนการผลิตน้ำหอมนั้นได้ใช้ประโยชน์จากคุณสมบัติของน้ำมันมะรุม ทำให้น้ำหอมซึมซับได้ดีและมีกลิ่นติดทนนาน

ข้อควรระวังสำหรับการทานมะรุมกับโรค G6PD!


Dehydrogenase เป็นเอ็นไซน์หนึ่งที่อยู่ในเซลล์ ซึ่งเป็นส่วนำคัญในขบวนการ การใช้พลังงาน ปละสร้างสารต่างๆ ในเซลล์
โรคขาดเอ็นไซม์ G-6-PD หรือภาวะพร่องเอนไซน์ จีซิกพีดี หรือเป็นที่รู้จักกันในชื่อ โรคแพ้ถั่วปากอ้า (Favism) เป็นโรคทางพันธุกรรม มีการถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์ มีผลกระทบต่อเพศชายมากกว่าเพศหญิง


การวินิจฉัยโรค ใช้การตรวจสอบทางพันธุกรรม ผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้ ได้รับ oxidizing agents เช่นยาบางชนิดหรือการติดเชื้อในร่างกาย จะทำให้เม็ด เลือดแดงไม่สามารถทนทานได้ และกินเม็ดเลือดแดงแตกเฉียบพลัน เกิดซีดเฉียบพลัน ปัสสาวะดำหรือสีเข้มจากสีของฮีโมโกลบิน และอาจเกิดไตวายได้


สารหรือยาที่ทำให้เกิดเม็ดเลือดแดงแตกได้บ่อยได้แก่ ยารักษามาเลเรียบางชนิด, ยาซัลฟา, ยาปฏิชีวนะบางชนิดและถั่วปากอ้า เป็นต้น นอกจากนี้การติดเชื้อต่างๆ เช่นเป็นไข้หวัด หลอดลมอักเสบก็ทำให้เกิดเม็ดเลือดแดงแตกได้ จึงจำเป็นต้องแจ้งให้แพทย์ พยาบาลทราบ และรักษา รวมทั้งเสี่ยงยาที่อาจทำให้เกิดอาการได้


อาการที่เกิดขึ้นเมื่อได้รับยาเหล่านี้ ผู้ป่วยจะซีดลงทันทีเนื่องจากเม็ดเลือดแดงแตกในหลอดเลือด จะสังเกตเห็นปัสสาวะเป็นสีดำหรือสีโคล่า เนื่องจาก ฮีโมโกลบินในใดเลือดแดงถูกกรองออกมากับไต ซึ่งจำเป็นต้องนำส่ง โรงพยาบาล เพื่อให้การรักษาแบบประคับประคองทันที อันตรายที่เกิดขึ้นเมื่อเม็ด เลือดแดงแตกเฉียบพลัน (Hemolytic crisis) เช่นนี้คือ ภาวะไตวาย เนื่องจากไตขาดเลือดเฉียบพลัน เพราะขาดเม็ดเลือดแดงที่นำออกซิเจนมาหล่อเลี้ยง (เม็ดเลือดแดงแตกหมด) และยังได้รับฮีโมโกลบินปริมาณมาก ซึ่งเป็นพิษต่อไตโดยตรง
การรักษา เป็นการรักษาตามอาการแบบประคับประคอง เช่น การให้เลือด, การให้น้ำในประมาณที่เพียงพอป้องกันไตวาย ส่วนการแตกของเม็ดเลือดจะ หยุดได้เอง โรคนี้ไม่มีการรักษาที่หายขาดในขณะนี้


อาหารต้องห้าม หลีกเลี่ยงยาหรือสารที่อาจทำให้เกิดอาการ นอกจากยาแล้ว อาหารที่รับประทานก็พบว่ามีผลต่อเม็ดเลือดของผู้ป่วยเช่นกัน นั่นคือถั่วปากอ้า (Fava bean) โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าถั่วนั้นยังดิบอยู่ และลูกเหม็น (naphthalene) และมะรุม ไม่ควรรับประทานใบและเมล็ดมะรุม เพราะมีสารชนิดเดียวกับที่มีอยู่ในถั่วปากอ้า



วิธีการสกัดน้ำมันมะรุม Seeds of Health


การสกัดเย็น ด้วยเครื่องสกรูเพรส (Screw Press) น้ำมันสกัดเย็น คือ การแยกน้ำมันออกจากเมล็ดโดยไม่ใช้ความร้อนและสารเคมี แล้วตั้งทิ้งไว้ให้ ตกตะกอนจึงได้น้ำมันที่ใสบริสุทธิ์ และคงคุณค่าและสรรพคุณของของมะรุม


วิธีการบีบอัดโดยเครื่องสกรูเพรส (Screw Press) น้ำมันมะรุมที่บีบออกมาโดยแรงบดไประหว่างสกรูในแนวนอน จนได้น้ำมันออกมา


น้ำมันประเภทนี้จัดเป็นน้ำมันคุณภาพดี จะได้น้ำมันคุณภาพดี มีสี กลิ่น รส ตามธรรมชาติเพราะไม่ผ่านความร้อนเลย แต่จะมีความร้อนเกิดขึ้นจาก แรงเสียดสีระหว่างการบด ปริมาณน้ำมันที่สกัดได้ ประมาณ 30-40% มากกว่าการสกัดด้วยไฮโดรลิก เมื่อได้น้ำมันจะต้องนำไปกรองด้วยกระดาษกรอง


วิธีการสกัด เริ่มจากการนำเมล็ดมะรุมจากฝักแก่มาตากแดด เพื่อไล่ความชื้น แล้วทำการบีบด้วยเครื่องบีบอัดระบบสกรูเพรส จากเมล็ดมะรุมแห้งปริมาณ 8-12 กิโลกรัม จะสกัดได้น้ำมันมะรุม 1 ลิตร ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับประสิทธิภาพของเครื่องด้วย


ข้อดีของน้ำมันมะรุมที่สกัดด้วยวิธีนี้ : จะอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ มีกรดไขมันไม่อิ่มตัวตำแหน่งเดียวสูง ซึ่งกรดไขมันชนิดนี้ช่วยลดไขมัน พวกไตรกลีเซอไรด์ และลดคอเลสเตอรอลไม่ดีอีกด้วย

การสกัดน้ำมันมะรุมนั้นสามารถสกัดได้อีกหลายวิธี ดังนี้


สกัดน้ำมันมะรุมโดยการเคี่ยว (Rendering) โดยการนำเมล็ดมะรุมแก่มาบดให้ละเอียด แล้วนำไปใส่กระทะ เติมน้ำสองเท่าของเนื้อเมล็ดมะรุมที่บดแล้ว นำไปตั้งไฟให้เดือดแล้วหรี่ไฟลง หลังจากนั้นก็เคี่ยวกับไปพออ่อนๆ เคี่ยวจนน้ำมันแยกตัวออกมา ลอยตัวเหนือน้ำหรือเคี่ยวจนน้ำระเหยออกหมด ก็จะได้น้ำมันออกมา แล้วกรองแยกเอาน้ำมันมะรุมมาบรรจุขวด


สกัดน้ำมันมะรุมโดยการกลั่น นำเมล็ดมะรุมในฝักแก่ มาบดละดอียดแล้วผสมน้ำ ต้มให้เดือด 5-10 นาที แล้วยกลงจากเตา นำมากรองด้วยผ้าขาวบาง แล้วใส่ขวดหรือภาชนะที่มีทรงสูง ทิ้งไว้ 1 คืน เพื่อปล่อยให้น้ำมันแยกตัวเป็นชั้น จากนั้นจึงตักน้ำมันมากรองใส่ขวดเก็บไว้ ส่วนกากมะรุมที่เหลือนำไปทำ ปุ๋ยอินทรีย์ได้ แต่ข้อเสียของการสกัดน้ำมันมะรุมด้วยการเคี่ยว และกลั่น : ไม่ค่อยเป็นที่นิยมนักเพราะคุณภาพของน้ำมันยังไม่ ค่อยดีนัก เนื่องจากผ่านความร้อนเป็นเวลานาน กลิ่นไม่หอมมาก บางครั้งมีกลิ่นเหม็นไหม้ปนมากับน้ำมัน สภาพของน้ำมันเปลี่ยนไป เช่น เหม็นหืนเร็ว เมื่อนำมาทาตัวจะเหนียงเหนอะหนะ ซึมผ่านผิวหนังได้ยากกว่าน้ำมันที่สกัดโดยไม่ผ่านความร้อน

Moringa Oil (cold pressure)
clears pimples and prevents recurrence, if used regularly
remove wrinkles & prevent sagging of facial muscles.
helps clears black heads & spots. -Make face glow.
Helps to tighten the skin pores.
Purify the skin, balance the secretion of oil & remove skin fafatigue
Regular use diminishes the foemation of blackheads for all skill type.
Keeps skin healthy and glowing.









ประสบการ์ณจากชีวิตจริง การใช้ประโยชน์ของ พืชมะรุม I


เมื่อหกปีที่แล้ววันที่ 26 ตุลาคม 2550 อาจารย์นวลฉวีได้รับข่าวเป็นที่น่ายินดีจากนายแพทย์เปี่ยมโชค ชลิดาพงศ์ ว่าท่านมีคนใข้ผู้ไม่ประสงค์จะออกนามแต่มีความยินดีที่จะนำมาเผยแพร่เป็นวิทยาทานแก่คนทั่วไป คู่ครองได้เสียชีวิตด้วยโรคเอดส์ และผู้ป่วยได้รับเชื้อร้ายมาจากคู่ครอง เมื่อตอนมาพบคุณหมออาการทรุดมากแล้ว สุดวิสัยที่จะเยียวยา แต่เนื่องศรัทธาที่มีต่อคุณหมอในเกียรติด้านโภชนบำบัด  ผู้ป่วยได้วิงวอนให้คุณหมอหาทางช่วยชีวิต ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม

คุณหมอเปี่ยมโชคเล่าว่า เมื่อพบครั้งแรกนั้นผลของ viral สูงมากและผลของ CD4 มีปริมาณต่ำจนถึงจุดอันตราย ในวาระนั้นเองท่านผู้นี้ได้รับการแนะนำจากเเพื่อนให้รับประทานเมล็ดมะรุมที่แก่จัดวันละ 12 เมล็ด ขนะนี้ได้รับประทานเป็นเวลา 3 เดือนแล้ว ในระหว่างนี้ก็ยังรับการดูแลจากคุณหมออย่างสม่ำเสมอ จึงทำให้ท่านได้ผลก้าวหน้าอย่างใกล้ชิด จากการตรวจครั้งสุดท้ายปรากฎว่าปริมาณของเชื้อ viral ลดต่ำกว่า 50 หน่วย  ซึ่งถือว่าต่ำมาก และผลของ CD4 มีปรมาณสูงถึง 500 หน่วยในคนปกติจะมีราวๆ 700-800 สภาพร่างกายโดยทั่วๆไปของผู้ป่วยดูสมบูรณ์แข็งแรงเหมือนคนปกติจนถึงปัจจุบัน 2556 ซึ่งเป็นเรื่องน่ายินดีอย่างยิ่ง

แต่เนื่องจากคุณหมอเปี่ยมโชคเป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านโภชนบำบัดโดยเฉพาะ ท่านจึงกรุณาให้ข้อสังเกตุและแนะนำว่า เมล็ดมะรุมมีตัวยาประกอบที่สำคัญตัวหนึ่งซึ่งรับประทานติดต่อกันอย่างยาวนาน จะเกิดผลเสียต่อร่างกายมากกว่าผลดี ท่านจึงสมควรเมื่อร่างกายกลับเข้าสู่ภาวะปกติแล้ว ควรหยุดใช้เสีย ส่วนการเสริมสร้างร่างกายให้ปกตินั้น สมควรหาอาหารที่เป็นยาอย่างอื่นมาทดแทน ในกรณีจากการสำหรวจงานวิจัยจากแพทย์หลายๆท่านในต่างประเทศซึ่งจะหาดูในเว็ปใซต์ทางฝั่งอเมริกา www.pubmed.gov จะเห็นได้ว่ามะรุมผงสามารถเสริมสร้างภูมิ-ต้านทานให้แกร่างกายได้เป็นอย่างดี ถึงอย่างใรก็ขั้นอยู่กับความพร้องของแต่ละบุคคลเป็นสำคัญ เพื่อความไม่ประมาทควรพบแพทย์แผนปัจจุบันตรวจดูแลสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ 

ดังนั้น ขอกราบขอบพระคุณในเมตรตาจิตของคุณหมอเปี่ยมโชค ชลิดาพงศ์ ที่กรุณาอนุญาตให้นำข้ออมูลมาเผยแพร่เป็นวิทยาทานแก่เพื่อนร่วมชาติ

มะรุมเป็นพืชชนิดหนึ่งที่ท่านสนับสนุนให้รับประทานอย่างสม่ำเสมอ รวมทั้งชักจูงให้ปลูกใว้ในครัวเรือนด้วยโดยคำอธิบายว่าใบมะรุมมีสารต้านอนุมูลอิสระในปริมาณสูงได้เพราะมีสาร คาโรตินอยด์ในปริมาณที่สูงเช่นกัน


ดังท่านแซนฟอร์ด โฮส กล่าวใว้ว่า
"ถ้าปลูกมะรุมใว้ในบ้าน ก็เปรียบเสมือนย้ายโรงพยาบาลมาใว้ที่บ้านนั่นเอง"

วันอาทิตย์ที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

Moringa secret drug from nature Eng vr.







Moringa Oleifera is the best known of the thirteen species of the genus Moringacae. Moringa was highly valued in the ancient world.The Romans, Greeks and Egyptians extracted edible oil from the seeds and used it for perfume and skin lotion. In 19th century, plantations of Moringa in the West Indies exported the oil to Europe for perfumes and lubricants for machinery. People inthe Indian sub-continent have long used Moringa pods for food. The edible leaves are eaten throughout West Africa and parts of Asia.


For centuries, people in many countries have used Moringa leaves as traditional medicine for common ailments. Clinical studies have begun to suggest that at least some of these claims are valid. With such great medicinal value being suggested by traditional medicine, further clinical testing is very much needed. India: Traditionally used for anemia, anxiety, asthma, blackheads, blood impurities, bronchitis, catarrh, chest congestion, cholera, conjunctivitis, cough, diarrhea, eye & ear infections, fever, glandular swelling, headaches, abnormal blood pressure, hysteria, pain in joints, pimples, psoriasis, respiratory disorders, scurvy, semen deficiency, sore throat, sprain, tuberculosis Malaysia: Traditionally used for intestinal worms Guatemala: Traditionally used for skin infections and sores Puerto Rico: Traditionally used for intestinal worms Philippines: Traditionally used for anemia, glandular swelling and lactating


Family: Moringacae 

Range: Native to the Indian sub-continent and naturalized in 
tropical and sub-tropical areas around the world Description: Deciduous tree or shrub, fast-growing, drought resistant, average height of 12 meters at maturity Other twelve (12) varieties of Moringa species 







Many of the listed vitamins, minerals and amino acids are very 
important for a healthy diet. An individual needs sufficient levels of 
certain vitamins, minerals, proteins and other nutrients for his 
physical development and well-being. Actual need for different 
vitamins, etc, will vary depending on an individual’s metabolism, age, sex, occupation and where he/she is residing. Recommendations for daily allowances (RDA) also vary according to whom is doing the study. WHO/FAO recommend the following daily allowances for a child aged 1-3 years old and a woman during lactation




Leaves and pods of Moringa Oleifera can be an extremely valuable 
source of nutrition for people of all ages. Moringa Leaves can be dried 
and made into a powder by rubbing them over a sieve. Drying should 
be done indoors and the leaf powder stored in opaque, well-sealed 
plastic container since sunlight will destroy Vitamin A. It is estimated 
that only 20-40% of Vitamin A content will be retained if leaves are 
dried under direct sunlight, but that 50-70% will be retained if leaves 
are dried in the shade. This powder can be used in  place of fresh 
leaves to make lead sauces, or few spoonfuls of the powder can be 
added to other sauces just before serving. Addition of small amounts 
of leaf powder will have no discernible effect on the taste of a sauce. 
In this way, Moringa leaves will be ready available  to improve 
nutritional intake on a daily basis


"เมล็ดมะรุม"สิ่งเล็กๆ ดีและมีคุณค่า

เมล็ดมะรุม สิ่งเล็กๆ ดีและมีคุณค่า 


เมล็ดมะรุม

เมล็ดของมะรุมก็มีประโยชน์เช่นเดียวกับใบคือมีคุณค่ามหาศาล เพียงวันละ 1 เม็ดก่อนนอน จะช่วยขับถ่ายในตอนเช้าเป็นไปอย่างสม่ำเสมอ เมื่อมีการขับถ่ายกลับเป็นปกติแล้ว ขอแนะนำควรงดการรับประทานเพราะเมล็ดมะรุมเป็นยาปฎิชีวนะอย่างอ่อน อาจจะทำให้การรักษาไม่ได้ผลเท่าที่ควร ถ้าใช้ติดต่อกันเป็นระยะเวลายาวนานผู้เขียนและครอบครัวค้นพบว่าการเดินทางไปในที่ๆไม่ค่อยแน่ใจในเรื่องความสะอาดของน้ำและอาหาร ให้เคี้ยวเมล็ดมะรุมควบไปด้วย จะช่วยป้องกันโรคท้องเดินได้ด้วยดีนัก

เมล็ดจะมีรสขม แต่พอเคี้ยวไปสักพักจะเริ่มมีรสหวานขึ้นเรื่อยๆ จนหวานจัด เมื่อดื่มน้ำ จะรู้สึกชุ่มชื้นคอ หลังที่รับประทานหลังจากนั้นจะพบว่าอาการไอเรื้อรังจะจางหายไปทันที และเมล็ดมะรุมเป็นยาปฎิชีวนะอย่างอ่อนมีคุณสมบัติในการฆ่าเชื้อแบคทีเรียหลายประเภท

และยังใช้ในการตกตะกอนของน้ำ เพื่อใช้ดื่มที่สะอาดเพียงนำเมล็ดมะรุม 24 เมล็ดทุบพอประมาณ ใส้ผ้าพันใว้ แกว่งในน้ำทวนเข็มนาฬิกาพอสักพัก น้ำตกตะกอน ให้รีบตักน้ำขึ้นมา น้ำจะสะอาดปลอดภัย เป็นอีกภูมปัญญาหนึ่งที่ควรบอกต่อ อย่างยิ่ง



มะรุม


มะรุม Moringa oleifera

มะรุม 

มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Moringa oleifera จัดอยู่ในตระกูล Moringaceae มีถิ่นกำเนิดในประเทศแถบเอเชีย แต่พบได้โดยทั่วไปในแอฟริกา และเขตร้อนของทวีปอเมริกา เป็นไม้ผลัดใบ ขึ้นได้ในทุกภูมิประเทศ สำหรับประเทศไทย มะรุมพื้นเมืองที่ปลูกโดยทั่วไปเป็นพวก M.oleifera ซึ่งมีสายพันธุ์จากอินเดียแถบเทือกเขาหิมาลัย จากการศึกษาโดยนักวิทยาศาสตร์ชาวเยอรมัน พบว่า มะรุมเป็นพืชที่มีสารจำพวก Polyelectrolyte อยู่ในเมล็ด มีคุณสมบัติในการช่วยตกตะกอน และในแถบทวีปแอฟริกา เช่น ซูดาน ใช้เมล็ดมะรุมกำจัดความขุ่นในน้ำ ซึ่งมีผลที่น่าพอใจ

การศึกษาวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อทำการวิเคราะห์หาปริมาณโภชนาในใบมะรุม โดยการ นำใบมะรุมมาอบให้แห้งที่อุณหภูมิ 50 องศาเซลเซียส เป็นเวลา 48 ชั่วโมง หลังจากนั้นนำใบมะรุมไปบดให้มีความละเอียด 1 มิลลิเมตร แล้วนำผงใบมะรุมที่ได้มาทำการวิเคราะห์หาโภชนะต่างๆ จากการทดลอง พบว่า ในใบมะรุมมี โปรตีน 27.06 เปอร์เซ็นต์ ไขมัน 5.68 เปอร์เซ็นต์ เยื่อไย 19.84 เปอร์เซ็นต์ เถ้า 12.82 เปอร์เซ็นต์ ความชื้น 79.34 เปอร์เซ็นต์ และพลังงานทั้งหมด 4,521.27 แคลลอรีต่อกรัม ซึ่งจากข้อมูลดังกล่าว จะเห็นได้ว่าใบมะรุมมีปริมาณโปรตีนที่ค่อนข้างสูง ซึ่งสามารถใช้เป็นอาหารเสริมโปรตีนสำหรับมนุษย์ และใช้เป็นวัตถุดิบอาหารสัตว์ได



สารเบนซิลไทโอไซยาเนตไกลโคไซด์ชนิดหนึ่งและสารไนอาซิไมซิน (niazimicin) จากมะรุมสามารถต้านการเกิด! มะเร็งที่ถูกกระตุ้นโดยสารฟอบอลเอสเทอร์ในเซลล์มะเร็งเม็ดเลือดขาวได้ 

การทดลองในหนูพบว่าหนูที่ได้รับฝักมะรุมเป็นอาการเกิดโรคมะเร็งผิวหนังจากการกระตุ้นน้อยกว่ากลุ่มทดลอง โดยกลุ่มที่กินมะรุมเนื้องอกบนผิวหนังน้อยกว่ากลุ่มควบคุม 


ฤทธิ์ลดไขมันและคอเลสเทอรอล 

จากการทดลอง 120 วัน ให้กระต่ายกินฝักมะรุม วันละ 200 กรัมต่อกิโลกรัมน้ำหนักตัวต่อวันเทียบกับยาโลวาสแตทิน 6 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมน้ำหนักตัวต่อวันและให้อาหารไขมันมาก 


โภชณาการของใบมะรุม lต่อ 100 กรัม
ใบมะรุม 100 กรัม 

(คุณค่าทางโภชนาการของอาหารอังกฤษ ) 

พลังงาน 26 แคลอรี 

โปรตีน 6.7 กรัม (2 เท่าของนม) 

ไขมัน 0.1 กรัม 

ใยอาหาร 4.8 กรัม 

คาร์โบไฮเดรต 3.7 กรัม 

วิตามินเอ 6,780 ไมโครกรัม (3 เท่าของแครอต) 

วิตามินซี 220 มิลลิกรัม (7 เท่าของส้ม) 

แคโรทีน 110 ไมโครกรัม 

แคลเซียม 440 มิลลิกรัม (เกิน 3 เท่าของนม) 

ฟอสฟอรัส 110 มิลลิกรัม 
เหล็ก 0.18 มิลลิกรัม 

แมกนีเซียม 28 มิลลิกรัม 

โพแทสเซียม 259 มิลลิกรัม (3 เท่าของกล้วย) 



พบว่าทั้งกลุ่มที่กินมะรุมและยามีคอเลสเทอรอลฟอสโฟไลพิด ไตรกลีเซอไรด์ VLDL LDL ปริมาณคอเลสเทอรอลต่อฟอสโฟไลพิด และ atherogenic index ต่ำลงทั้ง 2 กลุ่มมีการสะสมไขมันในตับ หัวใจ และท่อเลือดแดง (เอออร์ตา) 

กลุ่มควบคุมปัจจัยด้านการสะสมไขมันในอวัยวะเหล่านี้ไม่มีค่าลดลงแต่อย่างใด 

กลุ่มที่กินมะรุมพบการขับคอเลสเทอรอลในอุจจาระเพิ่มขึ้น ผู้วิจัยจึงสรุปว่าการกินมะรุมมีผลลดไขมันในร่างกาย 

ที่ประเทศอินเดียมีการใช้ใบมะรุมลดไขมันในคนที่มีโรคอ้วนมาแต่เดิม การศึกษาการกินสารสกัดใบมะรุมในหนูที่กินอาหารไขมันสูงมีปริมาณคอเลสเทอร อลในเลือดลดลงอย่างมีนัยสำคัญเทียบกับกลุ่มควบคุม นอกจากนี้กลุ่มทดลองมีปริมาณไขมันในตับและไตลดลง 

สรุปว่าการให้ใบมะรุมเพื่อลดปริมาณไขมันทางการแพทย์อินเดียสามารถวัดผลได้ในเชิงวิทยาศาสตร์จริง

ฤทธิ์ป้องกันตับ 

งานวิจัยการให้สารสกัดแอลกอฮอล์ของใบมะรุมกรณีทำให้ตับหนูทดลองเกิดความเสียหายโดยยาไรแฟมไพซิน พบว่าสารสกัดใบมะรุมมีฤืธิ์ป้องกันตับ โดยมีผลกับระดับเอนไซม์แอสาเทตอะมิโนทรานสเฟอเรสอะลานีนทรานมิโนทรานสเฟอเรส อัลคาไลน์ฟอสฟาเทสและบิลิรูบินในเลือด และมีผลกับปริมาณไลพิดและไลพิดเพอร์ออกซิเดสในตับ โดยดูผลยืนยันจากการตรวจชิ้นเนื้อตับ สารสกัดใบมะรุมและซิลิมาริน (silymarin กลุ่มควบคุมบวก) มีผลช่วยการพักฟื้นของการถูกทำลายของตัวจากยาเหล่านี้ 

ผลิตภัณฑ์มะรุมของต่างประเทศจะอ้างฤทธิ์รักษามากมายทั้งที่ยังไม่มีการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์แค่ฤทธิ์ที่พิสูจน์ได้นี้ก็คงเพียงพอแล้วที่คุณจะเพิ่มใบหรือฝักมะรุมในรายการอาหารของคุณมื้อกลางวันนี้ 
ช่วยกันปลูก ช่วยกันกิน เพื่อสุขภาพ และ สภาพแวดล้อมครับ


วิธีใช้ 

ใบสด ควรรับประทานใบสดที่ไม่แก่หรืออ่อนจนเกินไปนัก เพื่อให้ได้ประโยชน์เต็มที่
เด็กแรกเกิด -1 ปี คั้นน้ำจากใบเพียง 1 หยด ผสมกับนมให้ดื่มเพียง 1 หยด ต่อ 1-2 วัน ใบมะรุมนี้มีธาตุเหล็กสูงมาก ฉะนั้นทารกในวัยเจริญเติบโต - 2 ขวบ จึงไม่ควรทานมาก
เด็กที่เริ่มทานอาหารได้ถึง3-4 ขวบ ควรทานวันละไม่เกิน 2 ใบ เพิ่มจำนวนขึ้นทีละใบตามอายุ จนถึง 10 ขวบ เด็กวัยรุ่นและผู้ใหญ่ รับประทานวันละ 1 กิ่ง จะทานสดหรือประกอบอาหารก็ได้ ถ้าจะให้ได้ผลรวดเร็ว ควรคั้นน้ำดื่มประมาณวันละ 1 ช้อนโต๊ะสำหรับผู้ใหญ่ หรือ 1 ช้อนชาสำหรับเด็ก
การรับประทานสุกควรลวกแต่ พอควรเพราะการถูกความร้อนนานเกินไปจะทำให้สารอาหารหลายชนิดเสื่อมคุณภาพลงไปมาก ถ้าสามารถรับประทานสดได้จะดีมากใช้ทำสลัดรวมกับผักสดหรือวางบนแซนวิช


ผล รับประทานได้ทั้งฝักอ่อนและฝักแก่พอสมควรฝักแก่จะใช้ลำบากเพราะต้องปอกเปลือกเช่นใช้แกงส้มหรือขูดเอาแต่เนื้อใน มาทำแกงกะหรี่ ฝักอ่อนขนาดถั่วฝักยาวสามารถนำมาทำอาหารได้มากมายหลายชนิด อาทิ เช่น แกงส้มฝักมะรุม ฝักมะรุมอ่อนผัดน้ำมันหอย ยำฝักมะรุมอ่อน(เหมือนยำถั่วพลู) สลัดสดใบมะรุมผักรวม ทอดมันปลากับฝักมะรุมอ่อน แกงเลียงฝักมะรุมอ่อนและใบมะรุม
แกงเผ็ดฝักมะรุมอ่อน ไข่ยัดไส้ใบมะรุมหมูสับ ดอกมะรุมชุบไข่ทอด ผัดพริกขิงฝักมะรุมอ่อน ผัดจืดฝักมะรุมอ่อนใส่ไข่และกุ้ง ผัดเผ็ดฝักมะรุมอ่อนยอดพริกไทยกับไก่ ฝักมะรุมอ่อนผัดขี้เมา ไก่อบฝักมะรุมอ่อน ยอด ดอก และฝักมะรุมอ่อนจิ้มน้ำพริก ต้มจืดหมูสับใบมะรุมอ่อน ผัดฝักมะรุมอ่อนกับเห็ดสดต่างๆ ราดหน้าฝักและใบมะรุมอ่อนไก่/หมู แกงจืดใบมะรุมอ่อนเต้าหู้ ผัดฝักมะรุมอ่อนกับเห็ดหูหนู จีน แกงจืดวุ้นเส้นใบมะรุมอ่อนใส่เห็ดสด แกงเขียวหวานหรือแกงแดงฝักมะรุมอ่อน(จะใส่เนื้อ หรือไก่ก็ได้ตามแต่ชอบ) ยอด ดอก และฝักมะรุมอ่อนชุบแป้งเทมปุระทอด เหล่านี้เป็นต้น

เมล็ด 

สามารถนำเมล็ดมะรุมมาสกัดน้ำมันเพื่อใช้ประโยชน์ได้มากมายเช่นใช้ทำอาหารได้ รักษาโรคปวดตามข้อ โรคเก๊า รักษาโรครูมาติซั่ม และรักษาโรคผิวหนัง แก้ผิวแห้ง ใช้แทนยารักษาผิวให้ชุ่มชื้น รักษาโรคอันเกิดจากเชื้อรา เปลือกจากลำต้น นำมาสับให้เป็นชิ้นเล็กๆใส่ผ้าห่อทำเป็นลูกประคบนึ่งให้ร้อนนำมาใช้ประคบ แก้โรคปวดหลัง ปวดตามข้อได้เป็นอย่างดี * ร้านขายยาจีนนำมาใช้เข้าเครื่องยาจีนรักษาโรคหลายประเภท*

กากของเมล็ดกากที่เหลือจากการทำน้ำมันสามารถนำมาใช้ในการกรองหรือทำน้ำให้บริสุทธิ์เป็นน้ำดื่มได้กากของเมล็ดมีคุณสมบัติเป็นยาฆ่าเชื้อที่มีประสิทธิภาพสูงเป็นอย่างยิ่ง จากนั้นนำมาทำปุ๋ยต่อได้



ดอก ใช้ต้มทำน้ำชาใช้ดื่มช่วยให้นอนหลับสบาย


ใบตากแห้ง 

สามารถนำใบมาตากแห้งโดยการตากในที่ร่มอย่าให้โดนแดดเมื่อแห้งสนิทดีแล้วนำมาป่นเป็นผงบรรจุในหลอดแคปซูลเพื่อสะดวกแก่การพกพาในกรณีที่เดินทางและหาใบสดไม่ได้ใช้ทำเป็นน้ำชาไ! ว้ดื่มได้ตลอดวันแต่ใบแห้งจะขาดไวตามินซีและไวตามินบีตลอลีนและแร่ธาตุบาง จำพวกที่สูญหายในระหว่างการทำให้แห้งควรเก็บผงมะรุมไว้ในที่มืดเช่นขวดพลาสติกชนิดทึบเพื่อ กั นการเสื่อมคุณภาพแต่คุณสมบัติอื่นๆ ยังคงเดิมเนื่องจากมะรุมเป็นพืชสมุนไพรกลางบ้านดังนั้นการให้ผลย่อมช้ากว่ายาแผนสมัยใหม่การที่จะใช้ให้ได้ผลอย่างจริงจังต้องใช้เวลาไม่น้อยกว่า3เดือนและต้องใช้ติดต่อกันอย่างสม่ำเสมอจะให้ผลเป็นที่น่าพอใจร่างกายจะแข็งแรงอยู่เสมอคนธรรมดาที่ไม่มีปัญหาเกี่ยวกับโรคก็สามารถใช้ได้เพื่อป้องกันตัวเองจากการติดเชื้อต่างๆ สร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกายเป็นอย่างดียิ่ง